คอลัมน์ ดร.ณัชร จัดหนังสือ เล่มที่ 160 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “สมองหายล้า ชีวิตก็หายเหนื่อย” ค่ะ
“ =ภาพรวม=
หนังสือเล่มนี้เขียนโดยจิตแพทย์เกาหลีวัย 80 ที่ยังแข็งแรงทั้งกายใจ ผู้ซึ่งสามารถทำงานได้ถึงวันละ 15 ชั่วโมงโดยไม่เหน็ดเหนื่อย อ่านหนังสือสัปดาห์ละ 5 เล่ม และเขียนหนังสือมาแล้ว 73 เล่มค่ะ
เคล็ดลับอยู่ที่ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสมองล้าและรู้วิธีป้องกันและบำบัดภาวะดังกล่าวค่ะ หนังสือเล่มนี้อธิบายถึงสาเหตุต่าง ๆ ของสมองล้าอย่างละเอียดและนำเสนอวิธีปรับปรุงการใช้ชีวิตเพื่อให้คุณเป็น “มนุษย์พลังสมอง” ค่ะ ”
ถึงแม้ขนาดเล่มจะค่อนข้างหนาและมีเนื้อหาบางส่วนที่อาจจะเป็นวิชาการไปนิด แต่โดยรวมแล้วไม่ยากเกินไปและคุ้มค่าที่จะสละเวลาอ่านเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นค่ะ
=น่าสนใจจากในเล่ม=
* สมองล้า หมายถึงสมองที่ทำงานไปนาน ๆ แล้วเหนื่อยอ่อน แต่ต่างกับอาการล้าทางร่างกายตรงที่ตอนเริ่มต้นเป็นเจ้าตัวจะยังไม่รู้ตัวว่าเหนื่อย ความเครียดคือสาเหตุหลักของสมองล้า
* อาการอันดับหนึ่งของสมองล้าคือ “สายตาอ่อนเพลีย” ตัวการหลักคือคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟน
* ความละโมบ “เอาอีก ๆ” ความต้องการสิ่งที่ใหญ่กว่า ดีกว่า ใหม่กว่าอยู่ตลอดเวลานั้นทำให้สมองล้า
* ถ้าสมองล้าแล้วยังทู่ซี้ทำงานต่อไป ทั้งร่างกายและจิตใจจะเริ่มต่อต้าน ขาดสมาธิ หัวตื้อ คิดอะไรไม่ออก ร่างกายจะบีบให้พักผ่อน ถ้าปล่อยให้เกิดขึ้นบ่อย ๆ จะทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้
* สมองล้าส่งผลต่อร่างกายทั้งร่าง ทำให้เกิดเป็นแผลในกระเพาะอาหาร เบาหวาน โรคอ้วน ผิวหยาบกร้าน ประจำเดือนมาไม่ปกติ ภูมิคุ้มกันตกทำให้มีอาการอักเสบเกิดขึ้นตามอวัยวะต่าง ๆ
* หนึ่งในวิธีลดอาการสมองล้าคือ การคิดบวก สนุกกับสิ่งที่ทำ มองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขัน ซึ่งจะสร้างความผ่อนคลายให้สมอง
* ไม่ควรหลอกสมองด้วยสารกระตุ้น เช่น บุหรี่ หรือ สุรา เพราะจะส่งผลเสียเป็นวงจรหนักขึ้นไปอีก กาแฟแก้วสุดท้ายควรเป็นหลังมื้อเที่ยงเท่านั้นไม่เช่นนั้นจะรบกวนคุณภาพการนอนตอนกลางคืน
* สภาพสมองในอุดมคติคือสมองแบบเซโรโทนิน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทในสมอง บทบาทสำคัญของเซโรโทนินคือคงความสงบให้แก่จิตใจ การเจริญสติภาวนาที่สร้างความสงบให้แก่จิตใจเป็นหนึ่งในวิธีป้องกันสมองล้า
* ความรู้สึกประทับใจมีอิทธิพลมากต่อนีโอคอร์เทกซ์ของสมองใหญ่และสมองส่วนหน้าซึ่งจะช่วยสร้างพลังให้สมอง การที่สมองจะประทับใจได้ต้องปลอดโปร่ง ผ่อนคลายก่อน จิตใจที่เต็มไปด้วยความกังวลจะไม่สามารถรู้สึกประทับใจได้
* มื้อเช้าเป็นพลังงานสมอง สมองที่ขาดกลูโคสจะไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การไดเอตอย่างหนักหน่วงส่งผลให้สมองล้า
* นอกจากเรื่องอาหารแล้วต้องปรับนิสัยในชีวิตประจำวัน และทานยาบำรุงสมองบ้าง (ในเล่มมีแนะนำ)
* สมองชอบตอนเช้า มีคนเพียง 1% เท่านั้นที่ตื่นตั้งแต่ตีห้า และน่าสนใจที่คนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในชีวิตก็มีแค่ 1% เช่นกัน การนอนดึกไม่ดีต่อสมอง ยีนมนุษย์มีวิวัฒนาการมาให้อยู่รอดได้โดยสว่างออกไปหาอาหาร มืดก็กลับมานอน ห้ามใช้มือถือหลังสี่ทุ่ม
* ตอนเช้าคือช่วงเวลาที่ร่างกายเตรียมพร้อมทำงาน ทั้งฮอร์โมน ความดันเลือด อุณหภูมิในตัว การเผาผลาญ ฯลฯ ถ้านอนตื่นสายกลไกนี้จะถูกสกัดไว้ ส่งผลร้ายต่อสุขภาพ
* การใช้ชีวิตในเมืองตลอดเวลาสร้างความเครียดต่อประสาทสัมผัสทั้งห้า ต้องออกไปอยู่ท่ามกลางธรรมชาติบ้าง มนุษย์อยู่กับธรรมชาติมานานในดีเอ็นเองเราจึงผนึกความถวิลหาธรรมชาติเอาไว้
* สิ่งแวดล้อมในการทำงานเป็นเรื่องสำคัญมาก ห้องโล่ง ๆ สะอาดสะอ้านจะดีต่อสมอง งานวิจัยระบุว่าดัชนีชี้วัดความสำเร็จกับพื้นที่ห้องที่ตามองเห็นมีส่วนสัมพันธ์กัน ห้องของคนที่ประสบความสำเร็จมักไม่มีของระเกะระกะวางอยู่บนพื้นและเห็นพื้นห้องอย่างชัดเจน บนโต๊ะก็สำคัญเช่นกัน
* แค่อยู่กับผู้อื่นก็ทำให้สมองล้าได้ แต่ละวันควรมีเวลาของตัวเองเงียบ ๆ ปลีกตัวเข้าห้องส่วนตัวหรือมุมส่วนตัว ห้ามคิดเรื่องงาน ทำสมาธิให้จิตสงบ แล้วความคิดสร้างสรรค์ดี ๆ จะเกิดขึ้นได้เอง
* เมื่อสมองไม่อยู่ในโหมดทำงานห้ามพูดติดปากว่า “ฉันทำไม่ไหว!” เพราะคำพูดด้านลบจะฝังลึกในสมองและยากจะลบเลือน ทำให้สมองทั้งก้อนมีแต่กระแสคิดติดลบ แต่ให้เติมพลังให้สมองแทน (ในเล่มมีวิธี)
* มนุษย์มีพลังฟื้นตัวที่ยิ่งใหญ่ สมองเรามีโปรแกรมสู่หนทางที่ดีงาม ความสำเร็จ และความสุขอยู่ ต้องนำออกมาใช้ให้เป็น
หนังสือชื่อ “สมองหายล้า ชีวิตก็หายเหนื่อย” โดย อีชีฮยอง แปลโดย ตรองสิริ ทองคำใส สำนักพิมพ์ Shortcut ในเครืออมรินทร์ พิมพ์ครั้งที่ 2 กุมภาพันธ์ 2558 207 หน้า ราคา 195 บาท มีจำหน่ายตามร้านหนังสือชั้นนำและเวบไซต์ร้านหนังสือทั่วไป
------------------------------------------------------------------
เกร็ดน่ารู้:
* เด็กสิงคโปร์และเวียดนามอ่านหนังสือเล่มโดยเฉลี่ยปีละ 60 เล่ม/คน
* คนไทยถึง 40% ไม่อ่านหนังสือเล่มใด ๆ เลย
* แม้ในหมู่คนไทยที่อ่านหนังสือก็อ่านโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 4 เล่ม/คน
คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” นี้ จึงมีขึ้นเพื่อส่งเสริมการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองและประเทศชาติค่ะ
มาช่วยกันสร้างวัฒนธรรมการมอบหนังสือเป็นของขวัญในทุกโอกาสนะคะ