ค้นหา
เข้าสู่ระบบ
บทวิจารณ์บรรณาธิการ : ยิ่งหิวยิ่งอายุยืน
บทวิจารณ์บรรณาธิการ
Hot!
ปลุกการทำงานของ "ยืนที่ช่วยให้รอดชีวิต" ด้วยเคล็ดลับการรักษาสุขภาพแบบคนญี่ปุ่น
หนังสือ
165.00 บาท
156.75 บาท
คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 482 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “ยิ่งหิว ยิ่งอายุยืน” ค่ะ
“ ยิ่งหิวยิ่งอายุยืนจริงหรือ มาอ่านรีวิวแล้วตัดสินกันเองดีกว่า คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 482 วันนี้ จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “ยิ่งหิว ยิ่งอายุยืน” ค่ะ =ภาพรวม= หนังสือเล่มนี้เขียนโดยแพทย์ญี่ปุ่นที่เคยเขียนหนังสือชื่อ “ยิ่งหิว ยิ่งสุขภาพดี” ที่ครูเคยรีวิวไว้นานแล้ว เนื้อหาคล้ายเล่มเก่าแต่จะเน้นไปที่ประเด็นอายุยืนมากกว่าเล่มที่แล้ว สิ่งที่ผู้รีวิวรู้สึกยินดีกับคุณหมอไปด้วยจากการอ่านเล่มสองของคุณหมอก็คือ “รู้สึกว่าคุณหมอได้เติบโตขึ้นทางจิตวิญญาณ” ค่ะ ”
โดย ดร.ณัชร จัดหนังสือ
    
นั่นคือ เล่มที่แล้วท่านจบเล่มด้วยประโยคทำนองว่า เป้าหมายชีวิตคือการมีผิวดีและหน้าท้องแบนราบ ซึ่งครูก็ตั้งคำถามขึ้นมาว่า เป้าหมายชีวิตคนเรามีเพียงแค่นั้นหรือ
การมีสุขภาพดี มีชีวิตที่ยืนยาว น่าจะหมายถึง การมีโอกาสได้รับใช้ผู้อื่นหรือมอบสิ่งดี ๆ ให้กับโลกได้มากขึ้น นานขึ้น มิใช่หรือ?
ในที่สุดในเล่มนี้คุณหมอก็คิดเช่นนั้นได้ แต่กว่าจะคิดได้ท่านก็ต้องสูญเสียคุณพ่อของท่านไปก่อน
เรียกได้ว่า การจากไปของคุณพ่อของคุณหมอเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณหมอเริ่มถามตนเองว่า “คนเราเกิดมาทำไม?” ค่ะ ดังนั้นในเล่มนี้นอกจากเรื่องสุขภาพแล้วคุณหมอยังพูดถึงเป้าหมายของชีวิตด้วย
มาดูประเด็นต่าง ๆ ที่คุณหมอพูดถึงในเล่มนี้กันดีกว่า
=น่าสนใจจากในเล่ม=
* ถ้าคุณมีชีวิตเหลืออยู่อีกแค่ 3 วัน หรือ 3 เดือน หรือ 3 ปี คุณจะดำเนินชีวิตอย่างไร
* คนส่วนใหญ่จะมีความสนุกสนานรื่นรมย์เป็นเป้าหมายระยะสั้น มีสิ่งพิเศษที่อยากทำเป็นเป้าหมายระยะกลางของชีวิต
* ส่วนเป้าหมายระยะยาว มักเป็นการดำเนินชีวิตตามปกติเหมือนทุกวัน (โดยชีวิตนั้นเป็นชีวิตที่มุ่งทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด – ผู้รีวิว)
* คุณหมอผู้เขียนกล่าวว่า ถ้าตนมีชีวิตเหลืออีกแค่ 3 ปี ก็ยังจะคงผ่าตัดมะเร็งเต้านมให้กับคนไข้อย่างเดิมทุกวัน และ “เพื่อที่จะให้มีสุขภาพดีไปทำงานเช่นนั้นได้ทุกวัน” ตนเองจึงเลือกกินอาหารวันละมื้อ เข้านอนแต่หัวค่ำ และตื่นแต่เช้าตรู่

* และด้วยการใช้ชีวิตให้ “หิวเสมอ” อย่างนั้น ผลพลอยได้ที่ผู้เขียนได้มาก็คือ ความดูอ่อนเยาว์และการมีร่างกายที่ผอมเพรียวลงกว่าแต่ก่อนที่น้ำหนักเกิน และคุณหมอทำเช่นนี้มาสิบกว่าปีแล้ว
* แต่คนที่คิดเพียงว่าการกินอาหารวันละมื้อเป็นเพียงวิธีไดเอตและย้อนวัยกลับไปเป็นหนุ่มสาว คุณหมอเชื่อว่าพวกเขาคงจะทำไม่สำเร็จแน่นอน เพราะสนใจแต่ผลพลอยได้จนมองไม่เห็นเป้าหมายของชีวิต
* กลไกในร่างกายคนมีวิธีการใช้พลังงานอยู่ 2 ประเภท คือ “การออกกำลังแบบใช้ออกซิเจน” ซึ่งใช้พลังงานจากไขมัน กับ “การออกกำลังแบบไม่ใช้ออกซิเจน” ซึ่งใช้พลังงานจากน้ำตาล
ในเล่มนี้คุณหมอจะเรียกย่อว่า “วงจรไขมัน” และ “วงจรน้ำตาล”
* นักวิ่งมาราธอนจัดอยู่ในหมวดแรก ส่วนนักขว้างค้อนจัดอยู่หมวดหลัง
* ร่างกายมนุษย์จะเก็บสะสมไขมันไว้เป็นแหล่งพลังงานในยามฉุกเฉิน ดังนั้น เวลาเราลดน้ำหนัก ร่างกายจึงเลือกใช้ไขมันก่อนเป็นอย่างแรก ถ้าร่างกายมีไขมันส่วนเกิน เราก็ควรกำจัดพวกมันออกไปเสียก่อน
* เวลาร่างกายเผาผลาญไขมัน มันจะไม่เผาผลาญน้ำตาล และเวลาร่างกายเผาผลาญน้ำตาลก็จะไม่เผาผลาญไขมัน ถ้าเราเลือกใช้วงจรทั้งสองอย่างเหมาะสม ร่างกายก็จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
* ร่างกายสามารถเก็บสะสมน้ำตาลได้เพียงเล็กน้อย คือเพียง 800 แคลอรี่เท่านั้น
แต่วันหนึ่งผู้ชายจำเป็นต้องใช้พลังงานถึง 2,000 แคลอรี่ ส่วนผู้หญิงจะใช้ 1,800 แคลอรี่ ถ้าเราใช้ชีวิตโดยใช้พลังงานจากน้ำตาลเพียงอย่างเดียว มันก็จะหมดอย่างรวดเร็ว เราจึงรู้สึกหิวอยู่บ่อย ๆ
* ถ้าคนที่ปกติไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเลยลุกขึ้นมาวิ่ง น้ำตาลหรือไกลโคเจนในกล้ามเนื้อจะถูกเผาผลาญก่อน ทำให้เกิดกรดแลคติคซึ่งเป็นสาเหตุทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการล้า ทำให้ไม่สามารถออกกำลังกายได้นาน ๆ
* ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อน้ำตาลถูกเผาผลาญหมด ก็จะหิวจนต้องกินอาหารเข้าไป ถ้ากินมากไปก็จะถูกสะสมในรูปของไขมัน จึงเป็นเหตุให้ออกกำลังกายแล้วกลับอ้วนขึ้น
* แต่ถ้าอดทนไม่กินอาหารแล้ววิ่งต่อไป ในที่สุดร่างกายก็จะเริ่มเผาผลาญไขมัน แต่การทำเช่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทุกคน คุณหมอผู้เขียนจึงแนะนำให้คน “ออกกำลังกายในชีวิตประจำวัน” แทน
* คนที่เคลื่อนไหวร่างกายในสภาพที่รู้สึกหิวตลอดทั้งวัน ร่างกายจะเผาผลาญไขมัน
* คุณหมอผู้เขียนเริ่มไดเอตเพราะน้ำหนักเกิน สุขภาพย่ำแย่ จึงเริ่มไดเอตด้วยซุปหนึ่งถ้วยและกับข้าวหนึ่งจาน เป็นวิธีควบคุมปริมาณแคลอรี่ด้วยการจำกัดจำนวนภาชนะใส่อาหาร

* เมื่อเริ่มได้ผลแล้ว คุณหมอก็ยกระดับการไดเอตของตนเองเป็นใช้จานชามที่มีขนาดเล็กลง นั่นคือ ใช้ภาชนะใส่อาหารสำหรับเด็ก ผลคือ สามารถลดน้ำหนักลงมาได้อย่างฮวบฮาบจากหนัก 80 กิโลกรัมเหลือ 60 กิโลกรัม
* คุณหมอเลือกงดอาหารเช้าและอาหารกลางวันมาทานมื้อเย็นมื้อเดียวเพราะไม่อยากทนทำงานในสภาพที่ง่วงและแน่นท้อง
* เวลาท้องร้องจ๊อก Growth Hormone หรือฮอร์โมนที่ทำให้กลับเป็นหนุ่มสาวจะหลั่งออกมา แล้วช่วยเผาผลาญไขมันพร้อมทั้งฟื้นฟูเยื่อเมือกและผิวพรรณให้กลับเป็นหนุ่มสาว
* ตอนท้องร้องจ๊อกครั้งที่ 2 ยีนเซอร์ทูอินซึ่งเป็นยีนต่ออายุขัยจะปรากฏออกมา แล้วช่วยฟื้นฟูยีนทั้งหมดในร่างกายที่ได้รับความเสียหายหรือสึกหรอ
* ตอนท้องร้องจ๊อกครั้งที่ 3 ฮอร์โมนมหัศจรรย์หรืออะดิโพเนคทินจะถูกหลั่งออกมาจากเนื้อเยื่อไขมันและช่วยทำความสำอาดภายในเส้นเลือดให้กลับเป็นหนุ่มสาว
* ถ้าชีวิตในแต่ละวันของคุณไม่มีความสุข นั่นอาจเป็นเพราะคุณยังไม่มีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจนพอ
* คนที่ไม่รู้ว่าตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร หรือมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร จะสนใจแต่ “การทำสิ่งที่สนุกสนาน” หรือ “การทำสิ่งที่พิเศษไปจากชีวิตประจำวัน”
* แต่สำหรับคนที่ตระหนักขึ้นมาได้ว่าเป้าหมายในชีวิตคือการมีชีวิตอยู่ในแต่ละวันให้ดีที่สุด เขาก็จะใช้ชีวิตในวันนี้อย่างมีประโยชน์ โดยตั้งใจทำงานและไม่ปล่อยปละละเลยครอบครัว เขาจะใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างคุ้มค่า
* สาเหตุที่คนเรากินมากไป
1) หลงระเริงอยู่กับเรื่องที่สนุกสนานตรงหน้า เนื่องจากไม่มีเป้าหมายระยะยาวในชีวิต
2) เป็น “โรคเสพติดน้ำตาล”
3) แยกไม่ออกระหว่าง “หิวจริง” กับ “รู้สึกหิว” ที่สมองสร้างขึ้นมา
* คนเราสามารถทานอาหารว่างได้ แต่มีเงื่อนไขอยู่ 2 ข้อ คือ 1) ห้ามกินอาหารที่มีน้ำตาล 2) ห้ามกินอาหารที่มีผงชูรส
* อาหารว่างที่ควรติดไว้คือ ถั่วเปลือกแข็ง (อัลมอนด์ และ วอลนัต) ปลาซาร์ดีนตากแห้ง (ปลาต้มตากแห้ง) และถั่วคั่ว
* หลังจากกินอาหาร ระบบประสาทพาราซิมพาเทติกจะทำงานเพื่อให้ร่างกายย่อยอาหาร จึงเป็นเรื่องธรรมชาติที่คนเราจะรู้สึกง่วงนอน (ระบบประสาทนี้เกี่ยวข้องกับความรู้สึกผ่อนคลาย)

* ยิ่งถ้ากินอาหารที่มีน้ำตาลมากในมื้อกลางวัน ระบบประสาทพาราซิมพาเทติกจะยิ่งถูกกระตุ้นให้ทำงานมากขึ้นไปอีก ส่งผลให้เราทำงานด้วยความเซื่องซึม
* คนที่ควรกินอาหารวันละมื้อได้แก่ 1) คนอ้วน 2) ผู้ชายอายุ 30 ปีขึ้นไปและผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
* น้ำตาลอันตรายกว่าคอเลสเตอรอล
* คนชอบกินของหวานจะมีผิวหนังที่แก่ชราเร็วกว่าปกติ
* จงกินผักและผลไม้ทั้งเปลือก และกินเนื้อปลาติดหนัง
* การเผาผลาญไขมันมีอยู่ 4 วิธีด้วยกัน ได้แก่ 1) การออกกำลัง 2) การนอนหลับ 3) ความหิว 4) ความหนาว
* ในยามอดอยาก ความหิวจะไปเปิด “สวิทช์ที่ทำให้อายุยืน” ส่งผลให้มีสุขภาพดี และเมื่อร่างกายสัมผัสกับความเหน็บหนาว “ยีนที่ช่วยให้รอดชีวิต” ก็จะถูกปลุกให้ทำงาน
* การอาบน้ำเย็นช่วยลดน้ำหนักได้ หลังจากอาบน้ำเย็น ศูนย์ควบคุมอุณหภูมิจะสั่งร่างกายให้เผาผลาญไขมันในช่องท้องเพื่อให้อุณหภูมิแกนสูงขึ้น
* การเดินแบบยืดอก แขม่วท้อง และก้าวเท้าให้ยาวที่สุดติดต่อกัน 15 นาที เป็นการออกกำลังกายที่ดี
* ในฤดูหนาวไม่ควรสวมเสื้อผ้าหนา ๆ เพราะเมื่ออุณหภูมิผิวลดลงจากการสัมผัสอากาศที่หนาวเย็น ศูนย์ควบคุมอุณหภูมิร่างกายก็จะเผาผลาญไขมัน
* ทั้งนี้ ควรระวังให้มือและเท้าอุ่นอยู่เสมอ แต่หัวปล่อยให้เย็นได้
* วิธีที่ดีที่สุดในการลบเรื่องที่ไม่ชอบออกจากหัวก็คือ การจดจ่ออยู่กับงานที่กำลังตรงหน้าอย่างเดียวโดยไม่ต้องคิดอะไร (คือสภาวะสมาธิ – ผู้รีวิว) ไม่ต้องคิดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้ว ไม่กังวลกับเรื่องที่ยังมาไม่ถึง
การดำรงชีวิตอยู่ในรูปแบบนี้ คือการคลายเครียดอย่างหนึ่ง (เหมือนหลักการในพุทธศาสนาที่ว่าถ้าเรามีสติจดจ่ออยู่ในปัจจุบันขณะความทุกข์ก็จะเข้าแทรกไม่ได้)
* การ “รักความสะอาดมากเกินไป” ทำให้ร่างกายไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้
* “ความหิว” ทำให้ชีวิตมีคุณค่ามากขึ้น ถ้าท้องเราอิ่มอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าอาหารมื้อนั้นจะอร่อยหรือเลิศหรูเพียงใด เราก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันสำคัญ หรือมีคุณค่าอะไร

* ความหิว ทำให้เราสามารถกินอาหารเรียบง่ายแต่ละมื้อได้ด้วยความรู้สึกขอบคุณ ดังนั้นความหิวจึงเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้เราเติบโตขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ และสอนให้เราเห็นความสำคัญของสิ่งต่าง ๆ ในชีวิต
==ข้อคิดที่ได้จากหนังสือเล่มนี้==
* ถึงแม้วัตรปฏิบัติของพระป่าที่เคร่งครัดจะมีการ “ฉันมื้อเดียว” เช่นกันและหลวงปู่หลวงตาส่วนใหญ่ก็แข็งแรงและอายุยืนดี แต่ท่านเหล่านั้นจะฉันเฉพาะมื้อเช้าหรืออย่างน้อยก็ก่อนเพล ไม่ใช่การอดข้าวเช้าและกลางวันแล้วมาทานมื้อเดียวตอนเย็นอย่างคุณหมอ
แถมคุณหมอจะดื่มเบียร์ 1 แก้วรวดตอนท้องว่างก่อนอาหารเย็นอีกด้วย(!)
* หนังสือเรื่องนี้มีแนวคิดในการรักษาสุขภาพที่ค่อนข้างสุดโต่ง แถมยังไม่แนะนำให้ออกกำลังอย่างเต็มที่อย่างการวิ่งหรือไปฟิตเนส
ส่วนตัวแล้วครูพบว่าการได้วิ่งอย่างต่อเนื่อง 30 นาทีขึ้นไปให้ความสดชื่นสมองโปร่งโล่งรู้สึกผ่อนคลายกว่าการเดินเฉย ๆ อย่างที่คุณหมอแนะนำค่ะ
ดังนั้นผู้ที่สนใจอยากลองทำตามเล่มนี้ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อน และใช้วิจารณญาณส่วนตัวกันนะคะ
หนังสือชื่อ “ยิ่งหิว ยิ่งอายุยืน” โดย โยะชิโนะริ นะงุโมะ แปลโดย พิมพ์รัก สุขสวัสดิ์ สำนักพิมพ์วีเลิร์น 174 หน้า ราคา 165 บาท มีจำหน่ายที่ร้านหนังสือชั้นนำและเวบไซต์ร้านหนังสือทั่วไป

ลักษณะของหนังสือมีตำหนิ (หนังสือเกรด B)
ตัวอย่าง เกรด/สภาพ
สภาพหนังสือชำรุดเล็กน้อย (B1)
ปกพับ สันบุบ ขาด
ลดราคา 20%
สภาพหนังสือชำรุดปานกลาง (B2)
ปกพับ สันบุบ ขาด สังเกตเห็นได้ว่าขาด ชำรุดมาก
ลดราคา 30%
สภาพหนังสือเก่าชำรุดปานกลาง (B3)
แต่ไม่มาก อาจมีสภาพปกพับ ปกหักร่วมด้วย
ลดราคา 50%
สภาพหนังสือเก่ามาก (B4)
อาจมีสภาพชำรุดร่วมด้วย แต่เนื้อหายังครบถ้วน
ลดราคา 70%
(ซื้อแล้วไม่รับเปลี่ยน หรือคืนทุกกรณี ยกเว้นชำรุดอันเนื่องมาจากการพิมพ์)