คอลัมน์ ดร.ณัชร ชวนจัดตู้หนังสือ เล่มที่ 13 วันนี้จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “ทำน้อยให้ได้มาก”
“ ซึ่งแปลมาจากฉบับภาษาอังกฤษชื่อ The Power of LESS ค่ะ
เมื่ออ่านคำบรรยายบนปกหลังโดยเผิน ๆ แล้วหนังสือเล่มนี้ฟังดูเหมือนหนังสือที่สอนเทคนิคในการจัดระเบียบชีวิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานโดยทั่วไปนะคะ เปิดไปหน้าแรก ๆ ผู้วิจารณ์ก็คิดเช่นนั้น ในใจนึกถึงหนังสือเล่มอื่น ๆ แนวเดียวกันที่เคยอ่านนานแล้ว เช่น Eat That Frog ที่ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะว่ามีคนแปลชื่อภาษาไทยว่าอย่างไร (กินกบตัวนั้นซะ?) ”
แต่เนื่องจาก Leo Babauta ผู้แต่งหนังสือเล่มนี้เป็นผู้เขียนบล็อกที่มีคนติดตามเป็นล้าน ๆ คนชื่อ Zenhabits นี่น่ะสิค่ะที่ทำให้ผู้วิจารณ์เดาว่าน่าจะมีอะไรที่ต่างออกไปจากหนังสือแนวนี้ทั่วไป
ในหน้าแรก ๆ ดูเหมือนความเป็นเซ็นที่ผู้แต่งนำมาแนะนำเป็นเทคนิคการ “ทำน้อยให้ได้มาก” จะมีเพียงแค่ “การจดจ่อ” (ซึ่งหมายถึง “การมีสมาธิ”) และ “ความเรียบง่าย” เท่านั้น ซึ่งก็ยังไม่นับว่าลงลึกไปในความเป็นเซ็นเท่าใดนัก
แต่พอเริ่มเข้าบทที่ 4 เมื่อผู้แต่งเปิดบทด้วยการยกคำพูดของ ราล์ฟ วอลโด เอเมอร์สัน มาว่า “ผมไม่มีอะไรต้องทำกับอดีต หรือแม้แต่อนาคต ผมอยู่กับปัจจุบัน” เท่านั้นเองค่ะ ผู้วิจารณ์ก็ร้อง “นั่นไง! ว่าแล้ว เจอจนได้” ^_^
เจออะไรน่ะหรือคะ ก็เจอบทที่ว่าด้วยการจดจ่ออยู่กับปัจจุบันขณะ จดจ่ออยู่กับงานทีละอย่าง และเทคนิคการฝึกให้อยู่กับปัจจุบันขณะให้ได้ในทุก ๆ กิจกรรมไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหาร การวิ่งจ๊อกกิ้ง การล้างจาน การอาบน้ำ การขับรถ การทำงาน หรือแม้แต่การเล่นสนุกไงคะ ซึ่งก็คือ “การเจริญสติ” นั่นเอง!
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือต่างประเทศอีกเล่มหนึ่งที่ผู้แต่งมีประสบการณ์ในการฝึกการเจริญสติมาก่อน โดยสำหรับเล่มนี้เป็นการฝึกตามแบบนิกายเซ็น และผู้แต่งได้นำหลักการเจริญสตินั้นไปประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและดังนั้นจึงเพิ่มคุณภาพชีวิตด้วยนั่นเองค่ะ ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมามีหนังสือแนวนี้ออกมาเยอะนะคะทั้งจากฝั่งอเมริกาและฝั่งอังกฤษ รวมทั้งเล่มที่ผู้วิจารณ์เลือกแปลและเริ่มวางจำหน่ายแล้วตอนนี้ด้วย นั่นก็คือ “ผู้นำอุดมสติ” (Mindful Leadership) ค่ะ
กลับมาที่เล่มนี้นะคะ ตั้งแต่หน้าแรก ๆ ผู้แต่งให้หลักการสำคัญที่จะใช้ “ทำน้อยให้ได้มาก” ไว้ 6 ข้อด้วยกันค่ะ ได้แก่ 1) สร้างข้อจำกัด 2) เลือกแต่สิ่งสำคัญ 3) ทำให้เรียบง่ายขึ้น 4) จดจ่อ 5) สร้างนิสัย และ 6) เริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ ค่ะ
จากนั้นใน 6 บทแรกก็จะเป็นเรื่องหลักการดังกล่าวนี้ นอกนั้นอีก 11 บทที่เหลือ (บทละสั้น ๆ ไม่ยาวมากค่ะ หนังสือเล่มนี้เล่มเล็ก ๆ บาง ๆ ค่ะ) จะเป็นการนำไปใช้จริงในสถานการณ์ต่าง ๆ ค่ะ เช่น เป้าหมายและโครงการที่เรียบง่าย งานที่เรียบง่าย การบริหารเวลาที่เรียบง่าย การจัดเก็บเอกสารที่เรียบง่าย กิจวัตรประจำวันที่เรียบง่าย ลดความเร็วลง การดูแลสุขภาพร่างกายที่เรียบง่าย และเรื่องเกี่ยวกับแรงจูงใจค่ะ
ในบรรดาหลักการทั้ง 6 ข้อ นั้น ผู้วิจารณ์ชอบข้อสุดท้ายเป็นพิเศษค่ะที่ว่า ให้เริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ หรือเริ่มต้นทำไปทีละน้อยก่อน โดยผู้เขียนยกตัวอย่างว่า ถ้าเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ก็ลองตั้งเป้าให้มีสมาธิได้นานต่อเนื่องขึ้นเพียงครั้งละ 5-10 นาทีก่อน ถ้าอยากตื่นนอนให้เช้าขึ้น ก็เริ่มจากการตื่นเร็วขึ้นเพียง 15 นาทีก่อนแทนที่จะพยายามตื่นให้เร็วขึ้น 1 หรือ 2 ชั่วโมงทันที และสำหรับผู้ที่อยากเริ่มออกกำลังกาย ก็สามารถเริ่มได้จากวันละ 5-10 นาทีก่อนแทนที่จะเริ่มต้นที่ครึ่งชั่วโมงตั้งแต่แรกค่ะ เพราะจากประสบการณ์ตรงของตัวเองก่อนจะอ่านหนังสือเล่มนี้ก็พบว่าการทำทีละน้อยก่อนแล้วค่อย ๆ เพิ่มไปทีละนิดนี้ได้ผลจริง ๆ นะคะ
เนื้อหาส่วนที่เหลือของหนังสือเล่มนี้นั้นก็จะเป็นแนวการจัดระเบียบชีวิตและการทำงานที่ท่านผู้อ่านพอจะเดาได้ค่ะ คือ การจัดห้องทำงานและบ้านให้เป็นระเบียบ รู้จักจัดลำดับความคัญก่อนหลัง และต้องใจเด็ดรู้จักเลือกแต่สิ่งที่สำคัญและตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นนักต่อชีวิตออกไปเหมือนที่ผู้วิจารณ์โปรยหัวเรื่องไว้น่ะค่ะว่า “ถ้าคุณกล้าตัด คุณก็มีสิทธิ์โต”
ถ้าคุณเคยอ่านหนังสือแนวนี้และเคยฝึกการเจริญสติมาแล้ว หนังสือเล่มนี้ก็อาจจะไม่ได้ให้อะไรใหม่กับคุณมากนักค่ะ แต่สำหรับท่านที่ยังไม่เคยอ่านแนวนี้หรือยังไม่เคยฝึกการเจริญสติและสนใจอยากจะจัดระเบียบชีวิตตนเองให้เรียบง่าย สงบสุข สบายใจขึ้น หนังสือเล่มนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีค่ะ
ชื่อหนังสือ ทำน้อยให้ได้มาก แปลจาก The Power of LESS ผู้เขียน Leo Babauta ผู้แปล คุณวิกันดา พินทุวชิราภรณ์ สำนักพิมพ์วีเลิร์น 190 หน้า ราคา 170 บาท
------------------------------------------------------------
คอลัมน์ "ดร.ณัชร ชวนจัดตู้หนังสือ" นี้ มีขึ้นเพื่อส่งเสริมให้คนไทยเพาะบ่มนิสัยรักการอ่านค่ะ