คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 464 “Thank God It’s Monday ขอบคุณที่โลกนี้มีงานประจำ”
“ หลังจากกระแสเชียร์ให้คนลาออกจากงานประจำมาเป็นนายตัวเองบูมมาได้สักพัก เราก็เริ่มเห็นหนังสือที่ออกมา “สวนกระแส” ทยอยออกมาเรื่อย ๆ หนังสือเล่มนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่จุดเด่นที่เป็นเสน่ห์มาก ๆ ของหนังสือเล่มนี้คือผู้เขียนเป็นผู้ที่อ่านหนังสือมาก และขวนขวายหาความรู้ในแขนงต่าง ๆ จากหลากหลายแหล่งข้อมูลเสมอ
จึงทำให้เป็นหนังสือที่อ่านแล้ว “อิ่ม” เล่มหนึ่ง เพราะมีทั้งเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์มากมายที่นำไปใช้ได้จริงทันที และลีลาของการเล่าเรื่องที่อ่อนโยนอบอุ่นชนิดที่จะทำให้คุณอยากรู้จักผู้เขียนมากขึ้น ”
ไม่แปลกใจเลยที่บล็อกของผู้เขียน คือ Anontawong's Musings นี้ถึงมีผู้อ่านไปแล้วมากกว่า 2 ล้านครั้ง
ไม่ว่าคุณจะอยากเรียนรู้ทัศนคติเชิงบวกเกี่ยวกับงานประจำที่ตั้งอยู่บนฐานแห่งความเป็นจริง หรืออยากได้เครื่องไม้เครื่องมือที่จะช่วยให้คุณทำงานประจำได้อย่างมืออาชีพมากขึ้น หนังสือเล่มนี้มีให้คุณครบ
=น่าสนใจจากในเล่ม=
* การเป็นมนุษย์เงินเดือนไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ตราบใดที่เรายังพอใจกับวิถีชีวิตแบบนี้ แม้แต่บรรดาเจ้าของกิจการหรือผู้ประกอบอาชีพอิสระก็ยังต้องพึ่งพามนุษย์เงินเดือน ไม่ว่าจะในฐานะลูกจ้างหรือลูกค้า
* ความสุขเป็นเรื่องของความตระหนักรู้ภายใน คนส่วนใหญ่ “รวยอยู่แล้ว” เพียงแต่ที่ผ่านมาเราอาจไม่เคยเห็นคุณค่าของบรรดาสิ่งที่เรามีอยู่นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการมีกินมีใช้ มีน้ำประปา มีไฟฟ้าใช้ เพราะเมื่อย้อนกลับไปเพียงร้อยปี คนที่อยู่ในสังคมชั้นสูงยังไม่ได้รับความสะดวกสบายเท่านี้
* เจ้าของธุรกิจนั้น ถึงจะเจอปัญหาหนักอย่างไรก็ “ลาออก” ไม่ได้
* คนที่ทำงานประจำก็รวยได้ ถ้ารู้จักการออมและลงทุนอย่างชาญฉลาด ถ้าคุณเริ่มต้นชีวิตทำงานด้วยเงินเดือน 20,000 บาท และแบ่งรายได้ 15% มาซื้อกองทุน LTF ทุกเดือนเป็นเวลา 30 ปี คุณก็จะมีเงินเก็บ 10 ล้านบาท
* หน้าที่ของผู้เป็นพนักงานประจำคือการพัฒนาตนเองทุกวัน เมื่อเราเก่งจนใคร ๆ ก็อยากได้ไปช่วยงาน เมื่อนั้นเราจะมี “ความมั่นคง” อย่างแท้จริง
* ข้อดีของงานประจำเมื่อเทียบกับคนทำงานอิสระที่หลายคนมองข้าม: ขอวีซ่าไปต่างประเทศง่ายกว่า ขอสินเชื่อธนาคารง่ายกว่า ยื่นภาษีสะดวกสบายมากกว่า มีวินัยการออมเงินมากกว่าด้วยระบบ provident fund มีโอกาสเรียนรู้งานมากกว่า และมีสังคมที่กว้างขวางกว่า
* คนจะประสบความสำเร็จในอาชีพ (career) ต้องมีต้นทุนทางวิชาชีพหรือ career capital อันได้แก่ทักษะและประสบการณ์ที่จำเป็นต่ออาชีพนั้น ๆ วิธีสะสมต้นทุนทางวิชาชีพคือต้องมีทัศนคติแบบ craftman mindset
* craftman mindset คือการใช้ทัศนคติแบบช่างฝีมือ ที่เน้นความอดทน วิริยะ เพียรพัฒนาตัวเองหเก่งขึ้นไปเรื่อย ๆ เพื่อจะได้สร้างคุณค่าได้มากยิ่งกว่าเก่า คนที่มีทัศนคติเช่นนี้จะไม่ถามตัวเองว่า “งานนี้ทำให้เรามีความสุขหรือเปล่า” แต่จะถามว่า “เราจะสามารถสร้างคุณค่าอะไรให้กับงานนี้ได้บ้าง”
* การได้ทำสิ่งที่รักไม่ใช่วิธีเดียวที่จะมีความสุขกับงานได้ แต่การรักในสิ่งที่ทำและมุ่งพัฒนาสู่ความเป็นเลิศในด้านนั้นก็ทำให้เรามีความสุขได้ไม่แพ้กัน
* ชั่วโมงการทำงานที่นานกว่าปกติในแต่ละวันไม่ได้หมายความว่าเราทุ่มเทให้กับงานเสมอไป แต่อาจหมายความว่าเราบริหารเวลาหรือจัดลำดับสำคัญของงานไม่เป็นก็ได้
* ถ้าเราสามารถแยกแยะงานหรือสิ่งที่เราต้องทำออกอย่างชัดเจนในตาราง 4 ช่อง (4 Quadrants) อย่างที่ดร.สตีเฟน โควีย์ ได้แนะนำไว้ในหนังสือ The Seven Habits of Highly Effective People ได้ (ในเล่มนี้มีอธิบายอย่างละเอียด) ชีวิตเราก็จะเปลี่ยนไปในทางบวกได้อย่างมากมายไม่น่าเชื่อ
* ถ้าเรามัวแต่ใจอ่อนกับเป้าหมายที่ไม่ได้สำคัญที่สุด เราอาจจะไม่บรรลุเป้าหมายข้อไหนเลย
* ถ้าคุณมีงานสำคัญที่ใช้เวลาและต้องทำให้จบภายในสัปดาห์นี้ คุณก็ต้องบล๊อกเวลาสามชั่วโมงแรกของวันตลอดทั้งสัปดาห์เพื่อที่จะทำงานชิ้นนี้ และไม่รับนัดประชุมใด ๆ ที่ชนกับช่วงเวลานี้
* กฎ 2 นาทีของเดวิด อัลแลน คือ “ถ้าอะไรใช้เวลาไม่เกิน 2 นาที จงลงมือทำไปเลย” ข้อดีของกฎนี้คือ ช่วยให้ตัดสินใจง่ายขึ้น ไม่ต้องคิดเยอะ และป้องกันปัญหาดินพอกหางหมู
* เราสามารถใช้แผนผังตารางการทำงานของโตโยต้าที่เรียกว่า Kanban Board (ในเล่มมีอธิบายละเอียด) มาช่วยให้เราทำงานได้อย่างว่องไว งานไม่โหลดพร้อมกันมากไป สามารถมีสมาธิจดจ่อกับงานตรงหน้ามากขึ้น อีกทั้งเห็นภาพรวมของทุกโปรเจ็คท์และทุกขั้นตอนการทำงานได้ไปพร้อม ๆ กันด้วย (ขอเสริมว่ามี app ชื่อ Trello ที่ช่วยให้คุณสามารถทำ Kanban Board ได้เองอย่างง่าย ๆ ทั้งจากมือถือ แท็บเบล็ต หรือว่าหน้าจอคอมพิวเตอร์ – ผู้วิจารณ์)
* คาล นิวพอร์ต ผู้เขียนหนังสือ So Good The Can’t Ignore You แนะวิธีทำงานที่ทำให้งานเสร็จมากมายแถมได้กลับบ้านตอนห้าโมงครึ่งว่า
1) ทำ To Do List อย่างเดียวไม่พอ ต้องจัดเวลาลงตารางด้วย
2) คิดไปเลยว่าต้องกลับบ้านตอนห้าโมงครึ่งแล้วค่อยวางแผนย้อนกลับไป
3) วางแผนล่วงหน้าสำหรับทั้งสัปดาห์
4) ทำงานให้น้อยชิ้น แต่ทำให้เจ๋งสุด ๆ ไปเลย
5) ทำ “งานตื้นเขิน” ให้น้อย ลงแรงกับ “งานลึกซึ้ง” ให้มากขึ้น
* ไม่เคยมีใครได้เป็น CEO เพราะตอบเมลได้เร็วกว่าใคร หรือเข้าประชุมได้มากกว่าคนอื่น
* กาย คาวาซากิ ผู้เคยทำงานตำแหน่งผู้เผยแพร่นวัตกรรมองค์กรของ Apple มาก่อนแนะนำการทำสไลด์ Powerpoint ให้น่าสนใจว่า สไลด์ควรจะยาวไม่เกิน 10 หน้า ความยาวของการพรีเซนต์ไม่เกิน 20 นาที ใช้ตัวอักษรขนาด 30pt ขึ้นไป
* วิธีที่ฟังดูตลกแต่ได้ผลจริงในการเลือกขนาดฟ้อนท์ที่เหมาะสมก็คือ ให้ดูว่าคนที่อายุมากที่สุดในกลุ่มผู้ฟังอายุเท่าไหร่แล้วหารสอง ถ้าต้องนำเสนอให้ซีอีโออายุ 52 ปี ตัวอักษรไม่ควรต่ำกว่า 26 pts
* องค์กรชั้นนำของโลกที่มีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดดคือ Amazon นั้น สั่งแบนการใช้ PowerPoint ในการประชุม (ด้วยเหตุผลใดและพวกเขาใช้วิธีใดแทนอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า อ่านได้ในหนังสือ)
* เราควรมีเวลาส่วนตัวไว้ดูแลสุขภาพกายใจเราด้วย เพราะในช่วงนาทีสุดท้ายของชีวิต ไม่เคยมีใครบ่นเสียดายเลยว่า “แหม ฉันน่าจะใช้เวลาที่ออฟฟิศให้มากกว่านี้สักหน่อย”
==ข้อคิดที่ได้จากหนังสือเล่มนี้==
* ความสุขจากการทำงานคือการมีทัศนคติที่ดีและมีเป้าหมายที่ชัดเจน และไม่ว่าคุณจะทำงานประจำหรือไม่ประจำ การหมั่นขัดเกลาพัฒนาตนเองให้รอบด้านอยู่เสมอโดยเรียนรู้จากผู้ที่มีประสบการณ์จะทำให้คุณประสบทั้งความสุขและความสำเร็จอย่างยั่งยืน
หนังสือชื่อ “Thank God It’s Monday ขอบคุณที่โลกนี้มีงานประจำ” อานนทวงศ์ มฤคพิทักษ์ สำนักพิมพ์อะไรเอ่ย 240 หน้า ราคา 210 บาท มีจำหน่ายที่ร้านหนังสือชั้นนำและเวบไซต์ร้านหนังสือทั่วไป