เกิดเป็นกระต่าย ต้องคิดให้ได้อย่างหมาป่า : Predatory Thinking

    หลายหมื่นปีที่ผ่านมา กระต่ายตกเป็นเหยื่อของสัตว์นักล่าอย่างหมาป่ามาโดยตลอด นอกจากเรื่องความแข็งแกร่งของร่างกายแล้ว ปัญหายังอยู่ที่วิธีคิดของกระต่ายด้วย เมื่อถูกล่ามันจะคิดแบบทื่อๆ ตรงๆ ไม่ทำอะไรนอกจากหนีสุดชีวิต จึงไม่แปลกที่มันต้องกลายเป็นอาหารของหมาป่าที่คิดได้อย่างเฉียบคมกว่า (และเจ้าเล่ห์) อยู่ร่ำไป "เดฟ ทรอตต์" นักโฆษณามือฉมังค้นพบว่า พวกเราส่วนใหญ่ก็ใช้ชีวิตและทำธุรกิจด้วยวิธีคิดที่ไม่ต่างจากกระต่าย เราคิดอะไรแบบทื่อๆ ตรงๆ โดยไม่รู้จักพลิกแพลง จึงไม่แปลกที่มักจะพ่ายแพ้ให้กับผู้ที่แกร่งกว่าอยู่วันยังค่ำ แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราหันมาคิดแบบหมาป่า?

    หนังสือ "เกิดเป็นกระต่าย ต้องคิดให้ได้อย่างหมาป่า" เล่มนี้ จะมาบอกเล่าเรื่องราวของคนธรรมดาและองค์กรมากมายที่เพียงแค่เปลี่ยนวิธีคิด ก็สามารถอ่านเกมได้อย่างเฉียบคมและพลิกกลับมาเป็นต่อจนสร้างความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ อาทิ แค่ปล่อยข่าวลือว่านักบินคนหนึ่งชอบกินแครอท ประเทศที่กำลังตกเป็นรองก็พลิกกลับมาชนะสงครามได้อย่างไม่น่าเชื่อ แค่ทิ้งให้ลูกค้ารายใหญ่นั่งรอในห้องสกปรก บริษัทโฆษณาขนาดเล็กก็สามารถชนะบริษัทยักษ์ใหญ่จนได้เซ็นสัญญาครั้งสำคัญ และอีกมากมาย ถึงแม้ว่าคุณจะเกิดมาเป็นกระต่าย ก็ใช่ว่าจะต้องมีชะตากรรมแบบเดียวกัน แค่เปลี่ยนไปคิดให้ได้อย่างหมาป่า แล้วคุณก็จะพลิกเกมได้ทั้งกระดาน!

- บทนำ : ทำไมต้องคิดแบบนักล่า
ส่วนที่ 1 วิธีคิดที่อยู่นอกตำรา
ส่วนที่ 2 ชีวิตคือเกมที่มีคนแพ้คนชนะ
ส่วนที่ 3 โฆษณา 90 เปอร์เซ็นต์คว้าน้ำเหลว
ส่วนที่ 4 จะวิ่งหนีหรือจะเรียนรู้จากมัน
ส่วนที่ 5 ยิ่งน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น
ส่วนที่ 6 รสนิยมคือศัตรูของความคิดสร้างสรรค์
ส่วนที่ 7 ศิลปะแห่งการทำสงคราม
ส่วนที่ 8 ประโยชน์ต้องมาก่อนรูปลักษณ์
ส่วนที่ 9 ความคิดของมนุษย์คือสื่อกลาง
ส่วนที่ 10 การเดินทางคือจุดหมาย

- บทส่งท้าย : การเรียนรู้ไม่เหมือนกับการถูกสอน