ค้นหา
เข้าสู่ระบบ
บทวิจารณ์บรรณาธิการ : ไม่ต้องฉลาดก็มองเห็นโอกาสได้มากกว่าคนอื่น
บทวิจารณ์บรรณาธิการ
หลักสูตรฝึก "ความช่างสังเกต" แบบก้าวกระโดดใน 90 นาที แค่ทำตามแล้วคุณจะเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น!
หนังสือ
150.00 บาท
142.50 บาท
คอลัมน์ ดร.ณัชร ชวนจัดตู้หนังสือ เล่มที่ 9 วันนี้จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “ไม่ต้องฉลาดก็มองเห็น 「โอกาส」ได้มากกว่าคนอื่น” ค่ะ
“ หนังสือเล่มนี้พูดถึงทักษะการมองสิ่งต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องราวเกี่ยวกับวงการธุรกิจและเศรษฐกิจให้ “เห็น” รายละเอียดมากกว่าคนอื่นค่ะ ชื่อหนังสือเล่มนี้แปลจากภาษาญี่ปุ่นตรง ๆ ได้ว่า “Lecture on the Development of [Discovery Power] for Businessman” ค่ะ ผู้เขียนเป็นเจ้าของบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจ เป็นกรรมการบริษัทใหญ่ ๆ หลายบริษัท และยังเจียดเวลามาสอนปริญญาโทด้านบัญชีอีกด้วยค่ะ ”
โดย ดร.ณัชร จัดหนังสือ
    
หนังสือเล่มนี้เปิดเล่มมาด้วยคำถามว่า “คุณเคยนึกสงสัยไหมว่า ทั้ง ๆ ที่มองสิ่งเดียวกันหรือฟังเรื่องเดียวกัน  แต่ทำไมสิ่งที่คนอื่นเห็นกลับแตกต่างจากคุณอย่างสิ้นเชิง  คุณเคยนึกเจ็บใจไหมว่าทำไมตัวคุณเองไม่สังเกตเห็นเรื่องนั้นบ้าง คุณเคยรู้สึกชื่นชมบางคนว่าสุดยอดมากที่สังเกตเห็นไหม”  จากนั้นเนื้อหาที่เหลือในเล่มก็จะเป็นการสอนเทคนิคต่าง ๆ ให้ตาไว รู้ว่าจะมองหาอะไรอย่างมีประสิทธิภาพค่ะ  สาเหตุที่ผู้เขียนมองว่าการมองให้เห็นอย่างละเอียดนั้นสำคัญก็เพราะว่ามันเหมือนกับความคิดสร้างสรรค์นั่นเองค่ะ  อันได้แก่ มองเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น

เพียงแค่หน้า 2 ในบทนำเท่านั้นก็จะทำให้คุณอยากออกไปสังเกตป้ายของร้านเซเว่นแล้วล่ะค่ะ  นอกจากนี้คุณก็จะค้นพบการทดลองง่าย ๆ เพื่อทดสอบความช่างสังเกตของคุณในบทที่ 1 เกี่ยวกับนาฬิกาที่พอลองทำแล้วคุณก็จะอมยิ้มกับตัวเอง  บทที่ 1 สรุปว่า ถ้าเราใส่ใจ/สนใจในสิ่งใดเราก็จะมองเห็นรายละเอียดในสิ่งนั้น  แต่ถ้าเรามีความคิดอย่างใดอย่างหนึ่งที่ฝังใจแล้ว เราก็จะไม่เห็นรายละเอียด  คนเราเลือกดูเฉพาะสิ่งที่สำคัญกับตนเอง และข้อสุดท้ายก็คือ คนเรามักจะมองไม่เห็นสิ่งที่สำคัญจริง ๆ ค่ะ

แต่สนใจอย่างเดียวยังไม่พอนะคะ ต้องสงสัย ตั้งข้อสันนิษฐาน และตรวจสอบด้วย  ตัวอย่างที่ยกมาในบทที่ 2 ก็นับว่าน่าสนใจดีค่ะ เช่น การตัดขั้วของมะเขือเทศราชินีเกี่ยวกับโรงแรมระดับห้าดาวอย่างไร  ทำไมธุรกิจกวดวิชาในญี่ปุ่นจึงทำกำไรได้สูงกว่าธุรกิจดูแลผู้สูงอายุทั้ง ๆ ที่ญี่ปุ่นเป็นสังคมผู้สูงอายุที่มีอัตราเกิดต่ำ  เวลาที่บริษัทที่ปรึกษาไปดูโรงงาน/สำนักงานเขาดูอะไร  และประโยชน์จากการสังเกต “สิ่งที่หายไป” ค่ะ

มีข้อสังเกตที่น่าสนใจอย่างหนึ่งอยู่ในบทที่ 3 ค่ะ  นั่นก็คือ บริษัทที่พนักงานบอกลูกค้าที่โทร.มาว่าผู้รับผิดชอบ “กำลังเข้าประชุม” ออกมารับโทรศัพท์ไม่ได้นั้นเป็นบริษัทที่ใช้ไม่ได้  เพราะว่ายอดขายของบริษัทมาจากลูกค้า ไม่ใช่มาจากการประชุมภายในบริษัทค่ะ  บทนี้สอนวิธีดูว่าร้านอาหารไหนทำกำไร เดายอดขายของบริษัทที่ไม่ยอมบอกตัวเลขจริง และวิธีดูงบการเงินภายใน 1 วินาทีด้วยค่ะ
บทที่ 4 นั้นจะสอนวิธีฝึกความช่างสังเกตอย่างละเอียดค่ะ  มีทั้งหัวข้อใหญ่และหัวข้อแยกย่อยมากมาย  มีตัวอย่างในเชิงธุรกิจและเศรษฐกิจของญี่ปุ่นมาประกอบด้วย  ถ้าท่านอยู่ในทำงานบริหาร โดยเฉพาะต้องดูเรื่องตัวเลข ดูเศรษฐกิจมหภาค ท่านน่าจะได้ประโยชน์จากบทนี้เป็นพิเศษนะคะ  บทนี้สอนวิธีต่าง ๆ ที่จะให้เรียนรู้มากกว่าคนอื่นสักเล็กน้อย หัดเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่าง ๆ  ศึกษาเรื่องนอกสาขาของท่านบ้าง  ดูสิ่งปกติให้มาก ๆ (เพื่อที่เวลามีสิ่งไม่ปกติเกิดขึ้นก็จะได้เห็นทันที) หมั่นพัฒนาความคิดของตนเอง  บทนี้มีการยกตัวอย่างพฤติกรรมการถ่ายรูปสติ๊กเกอร์และการนิยมกระเป๋าหลุยส์ วิตตอง ในหมู่เด็กมัธยมหญิงญี่ปุ่นเมื่อ 10 ปีที่แล้วด้วยค่ะ

บทที่ 5 จะเป็น 10 เทคนิคสอนให้ตาไวนะคะ  ถ้าอยากทราบว่ามีอะไรบ้างก็คงต้องไปลองอ่านดู    แต่สิ่งที่ผู้วิจารณ์ประทับใจที่สุดคือสิ่งที่ผู้เขียนเขียนในย่อหน้าสุดท้ายของบทค่ะ คือ “หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับ “ความช่างสังเกต” ซึ่งจะปูทางไปสู่ “การมองเห็นรายละเอียด” และ “ความคิดสร้างสรรค์” ในการทำงานให้ได้อย่างมืออาชีพ  แต่ผมคิดว่าการรับรู้และมองเห็นความสุขหรือความทุกข์ของคนอื่นต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญสูงสุดของการเป็นมนุษย์”  ช่างไพเราะลึกซึ้งจับใจจริง ๆ  ฟังตรงนี้แล้วทำให้รู้สึกขึ้นมาเลยว่า การช่างสังเกตก็คือการพยายามมองด้วยสติให้เห็นสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริงนั่นเอง  ท่านผู้อ่านว่าอย่างนั้นไหมคะ?

นอกจากนี้ก็ยังมีบทส่งท้ายอีกเล็กน้อยเป็นการฝากข้อคิดและความในใจของผู้เขียนอีกเล็กน้อย หนึ่งในนั้นก็คือ “การค้นพบและการฉุกคิดจะช่วยให้เรารู้สึกว่าโลกกว้างขึ้น” ค่ะ

ระดับความน่าอ่านอยู่ที่ปานกลางนะคะ เพราะบางทีผู้เขียนก็พูดหลายเรื่องซ้ำไปซ้ำมา  มองในแง่ดีก็คืออาจจะเป็นเทคนิคการย้ำให้จำได้ก็ได้ค่ะ  นอกจากนี้ในตัวเทคนิคในบทแรก ๆ นั้นใครเป็นแฟนหนังสือท่านว.วชิรเมธีก็อาจจะรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องใหม่เพราะวิธีนี้ท่านว.ก็เขียนถึงมานานแล้วในหนังสือ “วิชาแรก วิชาชีวิต” และ “ลายแทงแห่งความสำเร็จ” ค่ะ  จะเห็นได้ว่าภูมิปัญญาทางพุทธศาสนาของเราก็สามารถนำไปใช้ในการทำธุรกิจได้ด้วยนะคะ  แต่ถ้าท่านเป็นนักธุรกิจที่ต้องการเปิดหูเปิดตาหาตัวอย่างทางธุรกิจต่าง ๆ เป็นแรงบันดาลใจ เล่มนี้ก็มีตัวอย่างให้ท่านพอสมควรค่ะ

ผู้เขียน โคมิยะ คาสุโยชิ  แปลโดย คุณทินภาส พาหะนิชย์  สำนักพิมพ์วีเลิร์น  164 หน้า  ราคา 150 บาท ค่ะ
--------------------------------------------------
คอลัมน์ "ดร.ณัชร ชวนจัดตู้หนังสือ" นี้ มีขึ้นเพื่อส่งเสริมให้คนไทยเพาะบ่มนิสัยรักการอ่านค่ะ





ลักษณะของหนังสือมีตำหนิ (หนังสือเกรด B)
ตัวอย่าง เกรด/สภาพ
สภาพหนังสือชำรุดเล็กน้อย (B1)
ปกพับ สันบุบ ขาด
ลดราคา 20%
สภาพหนังสือชำรุดปานกลาง (B2)
ปกพับ สันบุบ ขาด สังเกตเห็นได้ว่าขาด ชำรุดมาก
ลดราคา 30%
สภาพหนังสือเก่าชำรุดปานกลาง (B3)
แต่ไม่มาก อาจมีสภาพปกพับ ปกหักร่วมด้วย
ลดราคา 50%
สภาพหนังสือเก่ามาก (B4)
อาจมีสภาพชำรุดร่วมด้วย แต่เนื้อหายังครบถ้วน
ลดราคา 70%
(ซื้อแล้วไม่รับเปลี่ยน หรือคืนทุกกรณี ยกเว้นชำรุดอันเนื่องมาจากการพิมพ์)