ค้นหา
เข้าสู่ระบบ
บทวิจารณ์บรรณาธิการ : ถอยก็ตาย วิกฤติยังไงก็ต้องสู้
บทวิจารณ์บรรณาธิการ
จากประสบการณ์เข้มข้นกว่า 50 ปี เริ่มต้นจาก SMEs จนกลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก
หนังสือ
200.00 บาท
190.00 บาท
คอลัมน์ “ดร.ณัชร จัดหนังสือ” เล่มที่ 413 จะมาคุยถึงหนังสือชื่อ “ถอยก็ตาย วิกฤติยังไงก็ต้องสู้”
“ =ผู้เขียนที่เป็น “เทพ”= สิ่งที่ทำให้หนังสือเล่มนี้น่าอ่านที่สุดก็คือ “ผู้เขียน” ซึ่งได้แก่ท่านประธานอินาโมริ คาซึโอะ ผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร Kyoceraบริษัทระดับโลกที่ได้รับเชิญจากรัฐบาลญี่ปุ่นให้เข้าไปฟื้นฟูกิจการของ JAL ที่ล้มละลายมีหนี้สินถึง 2.3 ล้านล้านเยน ท่านมีผลงานโดดเด่นที่สุดในญี่ปุ่นก็จริง แต่ตอนที่รัฐบาลมาขอให้ช่วยนั้นท่านก็อายุ 78 ปีแล้ว ซ้ำยังไม่เคยมีประสบการณ์บริหารธุรกิจสายการบินมาก่อน ”
โดย ดร.ณัชร จัดหนังสือ
    
ถึงจะมีแต่คนคัดค้าน ท่านก็ไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้วตอบรับด้วยเหตุผลสั้น ๆ ว่า “อยากช่วยชาติ ช่วยบำรุงขวัญกำลังใจของคนญี่ปุ่น และช่วยป้องกันการผูกขาดตลาดของอีกสายการบิน (ซึ่งจะส่งผลเสียต่อผู้บริโภค)”
โดยมีเงื่อนไขว่าท่านจะ #ไม่รับค่าตอบแทนแม้แต่เยนเดียว!
ถึงแม้จะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ท่านผู้เขียนก็ยังออกตัวว่า “หนังสือเล่มนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของมือสมัครเล่น…”
ด้วยความสามารถที่ยิ่งใหญ่และจิตใจที่อ่อนน้อมถ่อมตนเช่นนี้ ชาวญี่ปุ่นจึงพร้อมใจกันขนานนามท่านว่า “เทพแห่งการบริหารที่ยังมีชีวิตอยู่”
=ภาพรวม=
ในเล่มเริ่มจากภาพรวมเศรษฐกิจญี่ปุ่นในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ผลกระทบของสงครามต่อจิตวิญญาณการฮึดสู้ของธุรกิจญี่ปุ่น แนวทางที่ใช้ก่อตั้งและบริหาร Kyocera จนประสบผลสำเร็จ
และได้อารมณ์ finalé ช่วงท้ายเล่มด้วยกรณีศึกษา JAL โดยการเล่าเรื่องราวเบื้องหลังอย่างหมดเปลือก!
ท่านผู้เขียนรอบรู้ทั้งประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ เทคโนโลยีร่วมสมัย การบริหารธุรกิจ จิตวิทยา ภาวะผู้นำ ไปจนถึงเรื่องจิตวิญญาณ การรับใช้เพื่อนมนุษย์และรับใช้โลก เห็นได้ชัดว่าท่านอ่านหนังสือมามากและลงมือปฏิบัติเองจนได้ผลแล้วจริง ๆ
=น่าสนใจจากในเล่ม=
* ตั้งแต่เปิดกิจการมาจนถึงปัจจุบัน (54 ปี) Kyocera ยังไม่เคยขาดทุนสักครั้ง อัตรากำไรสูงสุดที่เคยได้คือ 40% และแม้ยอดขายจะสูงเกิน 1 ล้านล้านเยนก็ยังรักษาอัตรากำไรสูงเกินสองหลักไว้ได้
* ถึงแม้จะเป็นออเดอร์ที่ยากหรือเกินตัวแค่ไหน Kyocera ก็จะรับมาแล้วบอกลูกค้าว่า “จะทำให้ได้” แล้วก็ทำได้จริง ๆ คนที่ทุ่มเทคือคนที่จะอยู่รอด คนที่ปราศจากใจนักสู้สุดท้ายก็ต้องจบ (ในเล่มยกตัวอย่างที่บริษัทอเมริกัน General Electric หรือ GE พ่ายแพ้ต้องถอนตัวออกจากตลาดของ Kyocera ไป)
* “จงพูดให้ตัวเองฟังอยู่เป็นนิจว่า ต้องมีจิตใจเด็ดเดี่ยว มุ่งมั่น เพื่อให้แผนการและเป้าหมายสำเร็จบรรลุผล ต้องวาดภาพอุดมคติสูงส่งและวิสัยทัศน์เปี่ยมคุณธรรมให้เกิดขึ้นในจิตใจอย่างแรงกล้า” – นาคามูระ เท็มปู (ปรมาจารย์ศิลปะป้องกันตัวโบราณ, นักคิด) คำกล่าวนี้รวมทุกสิ่งที่ผมใช้ในการฟื้นฟู JAL
* ผู้บริหารระดับสูงต้องทำให้ดูเป็นเยี่ยงอย่างเสียก่อน ประกาศให้รู้ไปเลยว่า “ผมจะทำยอดขายเท่าไหร่ จะทำกำไรให้ได้เท่าไหร่” และรักษาสัญญานั้นให้ได้ หากทำสุดความสามารถแล้วทำไม่สำเร็จก็ต้องยืดอกพูดอย่างสง่าผ่าเผยว่า “ความทุ่มเทของผมยังไม่พอ ปีหน้าจะพยายามใหม่อีกครั้ง” ห้ามโทษปัจจัยภายนอกหรือว่าเศรษฐกิจตกต่ำอย่างเด็ดขาด
* สมัยทำงานที่ Kyocera ผมทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำกับพนักงาน หลายคืนนอนค้างโรงงานและออกเดินตรวจงานยามดึกและให้กำลังใจ ให้แนวทางแก่พนักงานหนุ่ม ๆ
* ใจนักสู้นั้นไม่ได้หมายถึงความรุนแรงและพฤติกรรมหยาบคาย แต่เป็นใจนักสู้เหมือนคนเป็นแม่ เช่น แม่นกเอาตัวเข้าเสี่ยงเพื่อไม่ให้เหยี่ยวทำอันตรายลูกนก คนที่เป็นหัวหน้าต้องรับผิดชอบที่จะ “ปกป้องพนักงานและบริษัทด้วยชีวิต!”
* “จิตวิญญาณของนักสู้” อย่างเดียวยังไม่พอ ต้องมีแรงจูงใจระดับสูงที่เรียกว่า “เพื่อโลก เพื่อมนุษยชาติ” ด้วย กิจการจึงจะสำเร็จอย่างยั่งยืน ผมฟื้นฟู JAL ได้ก็เพราะใช้หลักการนี้
* ปัญหาสำคัญของระบบทุนนิยมปัจจุบันไม่ใช่ปัญหาของกฎหมายหรือระบบ แต่เป็นปัญหาด้านจิตใจ ตราบใดที่ความโลภของผู้บริหารยังคงอยู่ก็จะยังแก้ปัญหาขององค์กรและของสังคมไม่ได้
* วิธีคิดที่จำเป็นในการแก้ไขหนทางของระบบทุนนิยมให้ถูกต้องคือการ “รู้จักพอเพียง” (ในที่นี้ท่านผู้เขียนยกว่าเป็นความคิดของเล่าจื๊อ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเรื่อง “สันโดษ” ของพระพุทธศาสนา – ผู้วิจารณ์)
* ผู้บริหารต้องตัดสินใจในสถานการณ์ต่าง ๆ อยู่เป็นประจำ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีมาตรฐานที่ชัดเจนไว้เป็น “ไม้บรรทัด” มาตรฐานสำหรับผมคือการถามตัวเองว่า “อะไรคือสิ่งถูกต้องในฐานะมนุษย์” แล้วนำคำตอบไปทุ่มเทปฏิบัติจนสำเร็จ (ในเล่มยกตัวอย่างการนำไปปฏิบัติจริงและได้ผล 2 กรณี)
* หนังสือผมชื่อ ikikata (วิถีการดำเนินชีวิต, ฉบับไทยใช้ชื่อ “ช้าให้ชนะ”) พูดถึงเรื่อง “มนุษย์มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร” เขียนจากปรัชญาจีน พุทธปรัชญา และปรัชญาญี่ปุ่นโบราณ ขายในจีนได้มากกว่า 1 ล้าน 3 แสนเล่ม (ไม่นับฉบับละเมิดลิขสิทธิ์ซึ่งมีมากกว่านี้อีกหลายเท่า)
* คณบดี MBA ม.ปักกิ่งกล่าวว่า “ที่ผ่านมาพวกเราใช้ตำราของอเมริกา โดยเน้นของ Harvard Business School แต่กลับเกิดปัญหาเรื่องนับถือเงินเป็นพระเจ้าซึ่งส่งผลให้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายมากมายและสังคมเศรษฐกิจจีนก็ไม่ดีขึ้นเลย เราจึงอยากใช้ปรัชญาของคุณมาใช้เป็นตำราเรียนแทนจากนี้เป็นต้นไป”
* เมื่อเข้ามาบริหาร JAL ผมก็พบปัญหา แผนกต่าง ๆ ไม่ร่วมมือกัน ปัดการรับผิดชอบ ไม่สามารถสรุปผลประกอบการในปัจจุบันได้ชัดเจน ผมเลยคิดว่า สิ่งแรกที่ต้องแก้ไขคือ การปฏิรูปจิตสำนึกของผู้บริหารและพนักงานอย่างจริงจัง โดยตอกย้ำให้ทุกคนยอมรับความจริงว่า “บริษัทล้มละลายแล้ว” จากนั้นผมก็เรียกผู้บริหารมาอบรมการเป็นผู้นำอยู่ 1 เดือน
* จากนั้น ผมลงพื้นที่หน้างานด้วยตนเอง เพื่อพูดคุยกับพนักงานโดยตรง (หนังสือเล่มอื่นระบุว่า ท่านประธานอินาโมริถึงกับไปก้มศีรษะ(โค้ง)ขอร้องพนักงานระดับล่างให้ร่วมมือร่วมใจ) ไม่ว่าจะเป็นพนักงานประชาสัมพันธ์ตรงเคาน์เตอร์ที่สนามบิน แอร์โฮสเตสที่ดูแลลูกค้าบนเครื่อง กัปตันและผู้ช่วยนักบิน พนักงานพื้นดิน ผู้ขนกระเป๋า ตลอดจนช่างต่าง ๆ
* หากไม่ทำให้พนักงานคิดจากใจจริงได้ว่า “โชคดีที่ได้ทำงานที่ JAL” แล้ว คงให้บริการที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าไม่ได้ และจะตอบแทนผู้ถือหุ้นและอุทิศตนเพื่อสังคมก็ไม่ได้
* จากนั้นพนักงานเริ่มตระหนักว่า “JAL คือบริษัทของพวกเรา เราต้องปกป้องบริษัทให้เต็มที่และทำให้คนนับถือ” พวกเขาเริ่มมองการฟื้นฟูเป็นเรื่องของตนเองแล้ว ทั้งนี้อาจเป็นเพราะพวกเขาเห็นสภาพผมทุ่มเทเพื่อฟื้นฟูอย่างจริงจังทั้ง ๆ ที่อายุมากแล้วก็ได้
* เดือนมีนาคม 2554 เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ภาคตะวันออกของญี่ปุ่น พนักงาน JAL ทุกคนปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมเพื่อลูกค้า ผมได้รับจดหมายหลายฉบับ (ในเล่มยกตัวอย่างมา 4 ฉบับที่ซาบซึ้งกินใจ)
* (ตัวอย่างจม.ขอบคุณ) “เครื่องบินเราลงจอดเวลาเดียวกับแผ่นดินไหว ตื้นตันใจมากเมื่อได้เห็นการอุทิศตนในการบริการของพนักงาน JAL...ลงมาถึงต้องค้างสนามบินก็มีบริการอาหารกลางดึกและเช้าตรู่ให้ รู้สึกได้เลยว่าต้องเตรียมการกันอย่างรวดเร็วมากและดูเหมือนจะไม่เกี่ยงว่าใช้บริการกับสายการบินไหนมาด้วย(ที่จะมารับอาหารฟรีได้) ยิ่งทำให้รู้สึกว่า นี่แหละคือสายการบินที่เป็นตัวแทนญี่ปุ่น”
* ผลประกอบการของ JAL ตลอด 3 ปีที่ผมเข้ามารับหน้าที่ฟื้นฟูมีกำไรอย่างต่อเนื่อง ปีแรกจบด้วยผลประกอบการสูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา ภายใต้สถานการณ์นี้ JAL มีกำไรสูงถึง 17% ซึ่งถึงว่าสูงสุดในสายการบินใหญ่ของโลก
* ในปีที่ 3 JAL ก็เข้าตลาดหลักทรัพย์โตเกียวได้ ทำให้เราคืนเงินทุนฟื้นฟูที่ได้จากรัฐบาลทั้งหมดได้สำเร็จ จากบริษัทที่ล้มละลายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น กลายเป็นบริษัทที่สร้างกำไรสูงสุดในโลกในระยะเวลาเพียง 3 ปี
* ผมเปลี่ยนอะไรอย่างนั้นหรือ? มีเพียงสิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปคือ ใจคน เพียงแค่เปลี่ยนความคิดก็ทำให้ฟื้นฟูกิจการได้อย่างดีเยี่ยมแล้ว
* ผมคิดว่าได้พิสูจน์ให้เห็นผ่านการฟื้นฟูของ JAL แล้วว่าทำไมจิตใจมนุษย์จึงทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ให้สำเร็จลุล่วงได้ เราควรจะเปลี่ยนประเทศนี้และโลกใบนี้จากหน้ามือเป็นหลังมือด้วยการเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมของทุกคนเหมือนที่เกิดขึ้นกับ JAL
=สรุป=
คำว่า “จิตวิญญาณนักสู้ที่ลุกโชน” ที่ปรากฏอยู่ตลอดทั้งเล่มนั้นไม่ใช่การบ่นแบบคนแก่หลงลืมที่พูดซ้ำ ๆ ทั้งนี้เพราะข้อเขียนอื่น ๆ ของท่านผู้เขียนยังคมกริบมาก
แท้ที่จริงเป็นการจงใจตอกย้ำให้เข้าไปในจิตใต้สำนึกของผู้อ่านด้วยความเมตตาปรารถนาดีนั่นเอง เหมือนดังที่ท่านพร่ำสอนลูกน้องด้วยคำเดียวกันนี้มาตลอด
ถ้าคุณผู้อ่านอยากสัมผัสจิตวิญญาณบูชิโดของแท้ของนักรบยามสงบว่าเป็นอย่างไร คุณต้องไม่พลาดเล่มนี้ เพราะสิ่งที่ท่านผู้เขียนเขียนนั้นได้รับอิทธิพลจากแนวคิดเรื่องบูชิโดจากยุคโตกุกาว่าเมื่อญี่ปุ่นปราศจากสงครามอย่างชัดเจน แนวคิดนี้ได้ถูกส่งผ่านจากชนชั้นซามูไรไปสู่ชนชั้นที่เหลือทั้งหมด จนสร้างญี่ปุ่นให้เป็นญี่ปุ่นได้ถึงทุกวันนี้
ผู้วิจารณ์อ่านจบแล้วอยากขนานนามท่านประธานอินาโมริเสียใหม่ว่า “The Last Samurai” ตัวจริง!
เพราะคำว่า ซามูไร (侍) นั้น แท้ที่จริงมีรากศัพท์มาจากคำว่า 侍う(saburau) ซึ่งแปลว่า “ผู้ที่คอยรับใช้อยู่เคียงข้าง” เหมือนที่ท่านลุกออกมาช่วยกู้วิกฤติของชาติด้วยจิตวิญญาณนักสู้ที่อ่อนน้อมถ่อมตนนั่นเอง!
ถ้าผู้อ่านตั้งใจฟังสิ่งที่ท่านประธานอินาโมริต้องการสื่อ นำไปขบคิด และนำไปปฏิบัติได้จริง ๆ คุณเองก็จะเป็น “ซามูไร” ได้ และความสุขใจเติมเต็มในการที่ได้ทำหน้าที่ของตนเองต่อโลกและต่อมนุษยชาติก็จะเกิดขึ้นในใจคุณอย่างแน่นอน ส่วนความสำเร็จนั้น...เป็นเพียงผลพลอยได้!
Banzai! Banzai! Banzai!
หนังสือชื่อ “ถอยก็ตาย วิกฤติยังไงก็ต้องสู้” โดย อินาโมริ คาซึโอะ สำนักพิมพ์สุขภาพใจ มีนาคม 2559 208 หน้า ราคา 200 บาท มีจำหน่ายที่ร้านหนังสือชั้นนำและเวบไซต์ร้านหนังสือทั่วไป หรือที่เวบไซต์สำนักพิมพ์ www.booktime.co.th




ลักษณะของหนังสือมีตำหนิ (หนังสือเกรด B)
ตัวอย่าง เกรด/สภาพ
สภาพหนังสือชำรุดเล็กน้อย (B1)
ปกพับ สันบุบ ขาด
ลดราคา 20%
สภาพหนังสือชำรุดปานกลาง (B2)
ปกพับ สันบุบ ขาด สังเกตเห็นได้ว่าขาด ชำรุดมาก
ลดราคา 30%
สภาพหนังสือเก่าชำรุดปานกลาง (B3)
แต่ไม่มาก อาจมีสภาพปกพับ ปกหักร่วมด้วย
ลดราคา 50%
สภาพหนังสือเก่ามาก (B4)
อาจมีสภาพชำรุดร่วมด้วย แต่เนื้อหายังครบถ้วน
ลดราคา 70%
(ซื้อแล้วไม่รับเปลี่ยน หรือคืนทุกกรณี ยกเว้นชำรุดอันเนื่องมาจากการพิมพ์)